เอกสารประกอบการเรียนวิชา พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน
การเรียนรู้กับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์
การเรียนรู้ (Learning)
การเรียนรู้หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือศักยภาพของพฤติกรรม ที่ค่อนข้างถาวร อันเกิดจากประสบการณ์ หรือการฝึกฝน (Kimble, 1961)
การเรียนรู้หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือศักยภาพของพฤติกรรม ที่ค่อนข้างถาวร อันเกิดจากประสบการณ์ หรือการฝึกฝน (Kimble, 1961)
การเรียนรู้ของคนเราเกิดขึ้นได้อย่างไร
การเรียนรู้ของคนเราอาจกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นได้สองทางด้วยกัน คือ
1. การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
2. การเรียนรู้จากประสบการณ์ทางอ้อม
1. การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
2. การเรียนรู้จากประสบการณ์ทางอ้อม
ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning)
ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่า พฤติกรรมของคนเรานั้นเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการที่คนเรามีปฎิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยทีสภาพแวดล้อมมีปัจจัยอยู่ 2 ตัวที่มีผลต่อพฤติกรรม ชึ่งได้แก่
ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่า พฤติกรรมของคนเรานั้นเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการที่คนเรามีปฎิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยทีสภาพแวดล้อมมีปัจจัยอยู่ 2 ตัวที่มีผลต่อพฤติกรรม ชึ่งได้แก่
เงื่อนไขนำ (Antecedents) และ ผลกรรม (Consequences)
เงื่อนไขนำ คือเหตุการณ์หรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการเกิดพฤติกรรม เป็นปัจจัยที่บอกให้คนเรารู้ว่า เราควรทำหรือไม่ควรทำพฤติกรรมที่เราต้องการจะทำหรือไม่ เช่นสัญญานไฟแดง บอกให้เรารู้ว่าเราควรจะหยุดรถแม้ว่าเราต้องการที่จะขับรถต่อไปก็ตาม หรือการที่เราเห็นคุณแม่อารมณ์ดี ก็จะเป็นสัญญานให้รู้ว่าถ้าจะขอเงินพิเศษ คุณแม่ก็คงจะให้เป็นต้น
เงื่อนไขนำ คือเหตุการณ์หรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการเกิดพฤติกรรม เป็นปัจจัยที่บอกให้คนเรารู้ว่า เราควรทำหรือไม่ควรทำพฤติกรรมที่เราต้องการจะทำหรือไม่ เช่นสัญญานไฟแดง บอกให้เรารู้ว่าเราควรจะหยุดรถแม้ว่าเราต้องการที่จะขับรถต่อไปก็ตาม หรือการที่เราเห็นคุณแม่อารมณ์ดี ก็จะเป็นสัญญานให้รู้ว่าถ้าจะขอเงินพิเศษ คุณแม่ก็คงจะให้เป็นต้น
ผลกรรม คือเหตุการณ์หรือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการเกิดพฤติกรรม มีผลทำให้พฤติกรรมนั้นมีโอกาสที่จะเกิดบ่อยขึ้น สม่ำเสมอ หรือลดลง ยุติลง ในการอธิบายถึงกระบวนการเรียนรู้นั้น Skinner ให้ความสำคัญกับการจัดการผลกรรมมากที่สุด ผลกรรมที่สำคัญนั้น Skinner แบ่งออกเป็น3ประเภทด้วยกันคือ
1. ตัวเสริมแรงทางบวก (PositiveReinforcer) คือผลกรรมที่ตามหลังพฤติกรรม แล้วทำให้พฤติกรรมนั้น เกิดบ่อยครั้งขึ้น หรือเกิดขึ้นสม่ำเสมอ กระบวนการที่ให้ผลกรรมแล้วทำให้พฤติกรรมเกิดบ่อยครั้งขึ้นนั้นเรียกว่า การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เช่นการที่คนเราทำงานแล้วได้เงินเดือน เงินเดือนก็เป็นตัวเสริมแรงทางบวกให้คนเราทำงานบ่อยครั้ง หรือการที่เราแต่งตัวให้ดูดีแล้วได้รับคำชมว่าแต่งตัวเป็น ก็ทำให้เราแต่งตัวดีทุกครั้งที่ออกงาน คำชมก็จัดได้ว่าเป็นตัวเสริมแรงทางบวกต่อพฤติกรรมการแต่งตัวดีของเราเป็นต้น
2. ตัวลงโทษ (Punisher) คือผลกรรมที่ตามหลังพฤติกรรม แล้วทำให้พฤติกรรมนั้น ลดลงหรือยุติลง กระบวนการที่ให้ผลกรรมแล้วทำให้พฤติกรรมลดลงหรือยุติลงนั้นเรียกว่า การลงโทษ (Punishment) เช่นการที่เราขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วถูกตำรวจจับ ปรับเงินไป 500บาท ทำให้เราไม่ขับรถเร็วอีกเลย การถูกปรับเงิน ก็จัดได้ว่าเป็นการลงโทษพฤติกรรมการขับรถเร็วของเรานั่นเอง
3. การหยุดยั้ง (Extinction) คือการยุติการให้การเสริมแรง ต่อพฤติกรรมที่เคยได้รับการเสริมแรง กระบวนการดังกล่าวจะส่งผลทำให้พฤติกรรมนั้น ลดลงหรือยุติลงในเวลาต่อมา แต่ก่อนที่จะลดลง อาจมีการเกิดการระเบิดของพฤติกรรมขึ้นได้ เช่น การที่เด็กไปที่ศูนย์การค้ากับแม่และขอให้แม่ชื้อของให้ แม่ก็ชื้อให้แทบทุกครั้ง (แม่ให้การเสริมแรงทางบวกต่อพฤติกรรมการขอให้แม่ชื้อของให้) วันหนึ่งแม่ตัดสินใจไม่ชื้อให้เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม แสดงว่าแม่กำลังใช้การหยุดยั้ง ผลจากการใช้การหยุดยั้งจะพบว่า เด็กจะขอด้วยเสียงอันดังขึ้น และอาจระเบิดถึงขั้นดิ้นกับพื้นได้ ซึ่งเราเห็นเหตุการณ์นี้ได้บ่อยๆในศูนย์การค้า แสดงว่าเด็กถูกการหยุดยั้งนั่นเอง
ประเภทของตัวเสริมแรงทางบวก
ตัวเสริมแรงทางบวกสามารถแบ่งออกได้เป็น 5ประเภทด้วยกันคือ
1. ตัวเสริมแรงทางสังคม (Social Reinforcer) ได้แก่คำชม คำยกย่อง การให้ข้อมูลป้อนกลับทางบวก การกอด การแตะตัว การแสดงการยอมรับ เป็นต้น
2. ตัวเสริมแรงที่เป็นวัตถุสิ่งของ (Material Reinforcer) ได้แก่สิ่งของต่างๆ เช่น รถ บ้าน เสื้อผ้า น้ำหอม และรวมทั้ง อาหารและขนม เป็นต้น
3. ตัวเสริมแรงที่เป็นกิจกรรม หรือที่รู้จักในนามของหลักการของ Premack (Premack’s Principle) เป็นการใช้กิจกรรมที่บุคคลชอบมากมาเสริมแรงกิจกรรมที่บุคคลไม่ชอบทำหรือทำน้อย เพื่อให้บุคคลนั้นทำกิจกรรมนั้นมากขึ้น เช่นการที่เด็กชอบเล่นเกมแต่ไม่ชอบทำการบ้าน ก็สามารถเพิ่มพฤติกรรมการทำการบ้านของเด็กได้ โดยบอกให้เด็กทำการบ้านก่อนแล้วจึงค่อยเล่นเกม เป็นต้น
4. เบี้ยอรรถกร (Tokens Economy) เป็นการใช้เบี้ย คะแนน หรือดาว เป็นตัวเสริมแรง โดยที่เบี้ย คะแนนหรือดาวนั้นสามารถนำไปแลกตัวเสริมแรง อื่นๆได้ ตัวอย่างของเบี้ยอรรถกรที่เห็นได้ชัดคือ เงิน คูปองแลกของ หรือแต้มสะสมของบัตรเครดิต ที่สามารถนำไปแลกสิ่งของต่างๆได้ตามที่ต้องการ
5. ตัวเสริมแรงภายใน (Covert Reinforcer) ได้แก่ความภูมิใจ หรือความสุข เป็นต้น
การชี้แนะ (Prompting)
การชี้แนะคือการจัดการกับเงื่อนไขนำนั่นเอง ทำได้โดยการให้สัญญาณ (Signs) หรือตัวชี้แนะ (Cues) เพื่อให้คนเราแสดงพฤติกรรมออกมา อย่างที่เราต้องการให้แสดงออก ซึ่งการชี้แนะสามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกันคือ
1. การชี้แนะโดยการใช้คำพูด (Verbal prompt) เป็นการใช้คำพูดให้คนเราทำพฤติกรรมบางอย่าง เช่น บอกให้เงียบ บอกให้เข้าชั้นเรียน หรือบอกให้แบ่งปันของเล่นให้กับเพื่อน เป็นต้น
2. การชี้แนะโดยการใช้สัญญาณ (Sign prompt) คือการใช้สัญลักษณ์ต่างให้คนเราทำตาม เช่น สัญลักษณ์ห้ามสูบบุหรี่ สัญลักษณ์ห้องน้ำ สัญญาณจราจรเป็นต้น
3. การชี้แนะโดยการใช้ร่างกาย (Physical prompt) คือการใช้ร่างกายชี้แนะให้คนเราทำตาม เช่นการจับมือให้เด็กเขียนหนังสือ หรือจับซ้อนรับประทานอาหาร เป็นต้น
การแต่งพฤติกรรม (Shaping)
การแต่งพฤติกรรมเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนาพฤติกรรมใหม่ให้กับคนเรา โดยใช้หลักการการคาดคะเนความสำเร็จตามขั้นตอน (Successive approximation) เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปทีละพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่พฤติกรรมที่ต้องการ ส่วนวิธีดำเนินการนั้นมักจะใช้การชี้แนะร่วมกับการเสริมแรงทางบวก เช่นการฝึกการใช้โปรแกรม SPSS ก็อาจจะเริ่มจากการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การเลือกโปรแกรม การใส่ข้อมูล และการใช้เมนูในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นต้น
การแผ่ขยายสิ่งเร้า (Stimulus Generalization)
การแผ่ขยายสิ่งเร้าคือการที่คนเราสนองตอบในลักษณะเดียวกันต่อสิ่งเร้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ
สิ่งเร้าที่เคยเรียนรู้มาก่อน เช่น การที่นักศึกษากลัวอาจารย์ท่านหนึ่งในวิทยาลัย และต่อมากลัวอาจารย์ท่านอื่นๆในวิทยาลัย สุดท้ายกลัวที่จะไปวิทยาลัย ลักษณะดังกล่าว กล่าวได้ว่าเกิดการ
แผ่ขยายสิ่งเร้าขึ้นแล้ว แต่ถ้านักศึกษากลัวอาจารย์ท่านหนึ่งและไม่กลัวท่านอื่นๆอีก เราเรียกกระบวนการดังกล่าวว่าเกิดการเรียนรู้การแยกแยะสิ่งเร้า (Stimulus Discrimination) ชึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการเรียนรู้
ทฤษฏีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม (Social Cognitive Theory)
ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเราส่วนใหญ่นั้น เกิดขี้นจากการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบในสภาพแวดล้อม (Bandura, 1977) ตัวแบบในสภาพแวดล้อม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2ชนิดด้วยกันคือ ตัวแบบที่เป็นชีวิตจริง (Live Model) เป็นตัวแบบที่มีคนเราเผชิญในชีวิตจริง เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ครู เพื่อน เป็นต้น ตัวแบบอีกชนิดหนึ่งคือ ตัวแบบสัญลักษณ์ (Symbolic Model) เป็นตัวแบบที่ทีเราเห็นโดยผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ ทีวี หนังสือพิมพ์ การ์ตูน นิยาย เป็นต้น ตัวแบบทั้ง2ชนิดนี้มีผลต่อการเรียนรู้ของคนเราไม่แตกต่างกัน หากแต่ตัวแบบสัญลักษณ์ มีผลในวงกว้างกว่าเท่านั้น
การนำเอาแนวความคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ไปพัฒนาพฤติกรรม
เนื่องจากการเรียนรู้นั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก การนำเอาแนวคิดการเรียนรู้ไปใช้พัฒนาพฤติกรรมของคนเรา สามารถที่จะเริ่มจากการพัฒนาพฤติกรรมภายในไปสู่พฤติกรรมภายนอก หรือจากพฤติกรรมภายนอกไปสู่พฤติกรรมภายในก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรมทั้งสองประเภทนี้มีผลซึ่งกันและกันนั่นเอง แต่ในกระบวนการพัฒนาตนนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าควรจะเริ่มต้นจากพฤติกรรมภายในไปสู่พฤติกรรมภายนอก เพราะว่าคนเรานั้นควรจะมีความตระหนักหรือต้องการที่จะพัฒนาตัวเองเสียก่อน จึงจะทำให้กระบวนการพัฒนาตนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ดังนั้นขั้นตอนในการพัฒนาตนนั้นจึงควรเริ่มจากการ คิดดี พูดดี และทำดี ซึ่งถ้าทุกคนทำได้ก็จะทำให้สังคมมีความสงบ และความสุขมากขึ้น
การคิดดี หรือคิดในทางบวกนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่นักศึกษาทุกคนควรจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการพัฒนา
เทคนิคการหยุดความคิด (Thought stopping)
เทคนิคการหยุดความคิด เป็นเทคนิคที่เหมือนกับการลงโทษ นั้นคือเมื่อคนเรามีความคิดทางลบเกิดขึ้น ก็จะตระโกนในใจตัวเองว่า หยุด ซึ่งการทำเช่นนั้นจะทำให้ความคิดในขณะนั้นหยุดลงและเมื่อความคิดในขณะนั้นหยุดลงแล้วเราก็จะต้องสร้างความคิดใหม่เข้าไปทดแทน หลักการดังกล่าวดูเหมือนว่าจะทำได้ง่าย แต่ขั้นตอนในการดำเนินการนั้นต้องอาศัยความตั้งใจจริงและความอดทนพอสมควร จึงจะสามารถทำให้เราสามารถหยุดความคิดทางลบและพัฒนาความคิดทางบวกขึ้นมาได้
การคิดในทางบวก (Positive thinking) หรือ การพูดกับตัวเองในทางบวก (Positive self-talk)
หลังจากที่นักศึกษาได้ฝึกหยุดความคิดของตนเองแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรฝึกคือ การคิดในทางบวก หรือการพูดกับตนเองในทางบวก เพราะดังที่กล่าวไว้ข้างตนแล้วว่าการกระทำของคน เรานั้นเป็นผลพวงจากความคิดและความเชื่อของตนเอง นักศึกษาต้องมีความเชื่อก่อนว่า เราสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ ซึ่งการที่จะกำหนดอนาคตของตนเองได้นั้น เราต้องแน่ใจก่อนว่าเราสามารถกำหนดความคิดของตนเองได้ ซึ่งถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้เราก็จะทำไม่ได้ ถ้าเราเชื่อหรือคิดว่าทำได้เราจะประสบผลสำเร็จอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ และอีก 50 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่การกระทำของตัวเราเอง นักจิตวิทยามีความเชื่อว่าสิ่งที่จะทำร้ายคนเราได้มากที่สุดคือความคิดทางลบของคนเรานั่นเอง และทางการแพทย์ก็เชื่ออีกด้วยว่าร้อยละ 75 ของความเจ็บป่วยของคนเราเป็นผลมาจากความคิดทางลบของคนเรานั่นเอง
��$] � � �߱ �_� ��ลป้อนกลับ เมื่อลองทำตามพฤติกรรมของตัวแบบ อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับความสามารถเดิมที่ผู้สังเกตมีอยู่เช่น การที่ผู้ที่มีพื้นฐานทางด้านการเล่นเทนนิสเมื่อดูนักเทนนิสระดับโลกแข่งกันก็จะสามารถจดจำท่าต่างๆได้ง่าย และสามารถทำตามได้ง่ายกว่า ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านการเล่นเทนนิสมาก่อนเลย
4. กระบวนการแรงจูงใจ (Motivation Process) เป็นกระบวนการสุดท้ายที่จะทำให้ผู้สังเกตตัดสินใจจะทำตามพฤติกรรมของตัวแบบ นั่นคือผู้สังเกตจะพิจารณาดูว่าในสภาพการณ์ใด ที่แสดงพฤติกรรมตามตัวแบบแล้วได้รับการเสริมแรง การที่คาดว่าจะได้รับการเสริมแรงนี่เองทำให้เป็นแรงจูงใจที่ทำให้ผู้สังเกต แสดงพฤติกรรมตามตัวแบบที่ตนเองลอกแบบมา
นอกจากนี้ Bandura (1977) ยังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-Efficacy) โดยที่เขาเชื่อว่าทุกคนจะมีการรับรู้ความสามรถของตนเฉพาะอย่าง นั่นคือคนบางคนจะรับรู้ว่าตนเองมีความสามรถในเรื่องการพูดแต่อาจจะรับรู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ การรับรู้ความสามารถของตนเองนั้นมีผลต่อการกระทำในเรื่องนั้นๆ นั่นคือถ้าคนเรามีการรับรู้ความสามารถของตนสูงในด้านใดจะทำให้เขาสามารถแสดงออก ในสิ่งนั้นๆได้เต็มความสามารถของเขานั่นเอง การรับรู้ความสามรถของตนเองจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการแสดงออกของบุคคลในชีวิตประจำวัน เพราะปัจจัยหนึ่งของความสำเร็จในการใช้ชีวิตของคนเราก็คือการรับรู้ความสามารถของตนเองนั่นเอง
การนำเอาแนวความคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ไปพัฒนาพฤติกรรม
เนื่องจากการเรียนรู้นั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก การนำเอาแนวคิดการเรียนรู้ไปใช้พัฒนาพฤติกรรมของคนเรา สามารถที่จะเริ่มจากการพัฒนาพฤติกรรมภายในไปสู่พฤติกรรมภายนอก หรือจากพฤติกรรมภายนอกไปสู่พฤติกรรมภายในก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรมทั้งสองประเภทนี้มีผลซึ่งกันและกันนั่นเอง แต่ในกระบวนการพัฒนาตนนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าควรจะเริ่มต้นจากพฤติกรรมภายในไปสู่พฤติกรรมภายนอก เพราะว่าคนเรานั้นควรจะมีความตระหนักหรือต้องการที่จะพัฒนาตัวเองเสียก่อน จึงจะทำให้กระบวนการพัฒนาตนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น